วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2556



Pronoun

Pronoun คือ  คำที่ใช้แทนคำนาม  ซึ่งคำนามนั้นอาจเป็น  ชื่อ  คน  สัตว์  สิ่งของ  สถานที่  เป็นต้น  ทั้งนี้เพื่อมิให้มีการใช้คำนามซ้ำซาก

Pronoun  มีหลายจำพวกด้วยกันคือ

(1) Personal pronoun (บุรุษสรรพนาม)  ได้แก่  คำสรรพนามที่ใช้กล่าวแทนตัวบุคคล  สัตว์
Subject
pronoun
Object
pronoun
Possessive
pronoun
Possessive
adjective
Reflexive
pronoun
I
We
You
They
He
She
It
One1
Ones
me
us
you
them
him
her
it
one
ones
mine
ours
yours
theirs
his
hers
its
one’s
ones’
my
our
your
their
his
her
its
one’s
ones’
myself
ourselves
yourself
yourselves
themselves
himself
herself
itself
oneself2
-
 สิ่งของ  แบ่งตามลักษณะหน้าที่  ที่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กันได้  5  จำพวก  คือ
1.   Subject pronoun  คือ  คำสรรพนามที่ทำหน้าที่ในตำแหน่งประธานของประโยคแบ่งเป็น  3  พวกคือ
1.  สรรพนามบุรุษที่  1  คือ  ผู้พูด  ได้แก่  I ,  We
2.  สรรพนามบุรุษที่  2  คือ  ผู้ฟัง  ได้แก่  You
3.  สรรพนามบุรุษที่  3  คือ  ผู้ที่ถูกกล่าวถึง  ได้แก่  They ,  He , She , It , One , Ones
“We”  ยังใช้นำหน้าคำนามได้  (Predicate pronoun)  แต่ต้องทำหน้าที่เป็นประธานเท่านั้น  เช่น
We girls are  good  students.
We boys study  English.
We guys play  football.

Person
Singular

Plural

1
I

We
I am a student.  We are students.
2

You

You are a student. You are students.
3
He
She
It

They
He is a student.
She is a student.  They are students.
It is a student.
1 One  แปลว่า  คนเรา
2 Oneself  แปลว่า  ตนเอง  เช่น  by  oneself  หมายถึง  ตามลำพัง
1.  Object pronoun  คือ  คำสรรพนามที่ใช้ในตำแหน่งกรรมของประโยค

Person
Singular

Plural

1
me

us
You love me. You love us.
2

You

We like you.
3
him
her
it

them
They saw him.
They saw her. We saw them.
They saw it.
นิยมใช้คำสรรพนามที่เป็นรูปกรรม  หลัง  Verb to be  ในภาษาพูด  แต่ในภาษาเขียนต้องใช้  Subject pronoun  ดังตัวอย่าง

Speaking Language (ภาษาพูด)
Writing Language (ภาษาเขียน)
Who is that ?
It is . me.
It is I.

That is me.
That is I.
Who is that ?
It is her.
It is she.

This is her.
This is she.

ชนิดของประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในการสื่อสาร
(Types of English Sentence for Communication)
ประโยคในภาษาอังกฤษสามารถแบ่งออกตามวัตถุประสงค์ของการใช้ได้เป็น 6 ชนิดคือ
1. ประโยคบอกเล่า (Affirmative or Statement or Dedication Sentence) คือประโยค
ที่ใช้ในการสื่อสารเรื่องราวข่าวสารข้อคิดเห็นต่างๆในชีวิตประจาวันประกอบด้วยประธาน
(Subject) และกริยา (Verb) ซึ่งอาจจะมีกรรม (Object) หรือส่วนขยาย (Complement) ด้วยก็ได้
ประธาน + กริยา + กรรม
(Subject) (Verb) (Object)
ตัวอย่าง
Subject = S Verb = V Object = O Complement
I sing.
She cries.
He writes a letter.
They sing every Sunday.
ในประโยคบอกเล่าการกระจายกริยาต้องเป็นไปตามประธาน (Subject) และกาล (Tense)
ที่บอกเล่าเรื่องนั้น
2. ประโยคคาถาม (Question sentence) เป็นประโยคที่ใช้ถามเพื่อต้องการคาตอบจาก
ผู้ที่เราสนทนาด้วยประโยคคาถามมี 4 ชนิดคือ
(1) ประโยคคาถามที่ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วย (Yes-no question) เป็นประโยคที่ต้องการ
คาตอบว่า yes (ใช่) หรือ no (ไม่ใช่) เท่านั้นประโยคคาถามประเภทนี้ต้องขึ้นต้นประโยคด้วยกริยาช่วย
การทาประโยคคาถามแบบ Yes-no question นี้ทาจากประโยคบอกเล่าธรรมดา
(Affirmative sentence) โดยเอากริยาช่วย (Helping Verb) มาไว้ข้างหน้าได้แก่ Verb to be, will,
haveถ้าประโยคใดไม่มีกริยาช่วยให้ใช้ Verb to do โดยกระจายรูปกริยาช่วยให้ถูกต้องตามประธาน
และทากริยาแท้ให้อยู่ในรูปเดิมที่ไม่ต้องเติม s หรือesแล้วลงท้ายประโยคด้วยเครื่องหมายคาถาม
(question mark) ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ประโยคบอกเล่าประโยคคาถาม
She is your teacher. Is she your teacher?
(เธอเป็นครูของคุณ) (เธอเป็นครูของคุณใช่ไหม)
He likes you. Does he like you?
(เขาชอบคุณ) (เขาชอบคุณหรือเปล่า)
They buy air ticket. Do they buy air ticket?
(เขาซื้อตั๋วเครื่องบิน) (เขาซื้อตั๋วเครื่องบินใช้ไหม)
(2) ประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคาที่เป็นคาถาม (Question word question) คือประโยคที่
ขึ้นต้นด้วยคาที่เป็นคาถามได้แก่ what (อะไร), when (เมื่อไหร่), where (ที่ไหน), who (ใคร), whom
(ถึง, แก่ใคร), whose (ของใคร), which (อันไหน/สิ่งไหน), why (ทาไม), how (อย่างไร)
ในการตั้งคาถามด้วยคาเหล่านี้ส่วนใหญ่จะต้องตามด้วยกริยาช่วยยกเว้น who
ตามด้วยกริยาแท้และ whose ตามด้วยคานามส่วน which ตามด้วยคานามที่เป็นกรรมหรือกริยาช่วย
ขอให้ศึกษารายละเอียดการใช้คาที่เป็นคาถาม (Question word question) แต่ละตัวดังต่อไปนี้
1. What อ่านว่าวอทแปลว่าอะไรใช้ถามเกี่ยวกับคนสัตว์สิ่งของเช่น
ประโยคตอบแบบสั้นตอบแบบยาว
(Short form) (Long form)
What is in the cage? A bird. A bird is in the cage.
(อะไรอยู่ในกรง) (นกตัวหนึ่ง)
What are you reading? A newspaper. I am reading a newspaper.
(คุณกาลังอ่านอะไรอยู่) (หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง)
What is your father? A doctor. He is a doctor.
(พ่อของคุณเป็น (อาชีพ) (หมอคนหนึ่ง)
อะไร)
2. Where อ่านว่าแวรฺแปลว่าที่ไหนใช้ถามสถานที่เช่น
ประโยคตอบแบบสั้นตอบแบบยาว
(Short form) (Long form)
Where do you live?In Phuket. I live in Phuket.
(คุณอาศัยอยู่ที่ใด) (ในจังหวัดภูเก็ต)
Where will you go?To the market. I will go to the market
(คุณจะไปไหน) (ไปตลาด)
Where is the dog? Under the tree. The dog is under the tree.
(สุนัขอยู่ที่ไหน) (ใต้ต้นไม้)
3. When อ่านว่าเวนแปลว่าเมื่อไรใช้ถามเกี่ยวกับเวลาเช่น
ประโยคตอบแบบสั้นตอบแบบยาว
(Short form) (Long form)
When will you go home? At four o’clock. I will go home at
four o’clock.
(คุณจะกลับบ้านเมื่อไร) (สี่โมง)
When will your uncle Next year. My uncle will visits
Visit you? next year.
(ลุงของคุณมาเยี่ยมคุณเมื่อไร) (ปีหน้า)
4. Who อ่านว่าฮูแปลว่าใครใช้ถามบุคคลเช่น
ประโยคตอบแบบสั้นตอบแบบยาว
(Short form) (Long form)
Who is that man? George Smith. That man is George Smith.
(ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร) (จอร์จสมิธ)
Who wants to go Boonchu and Chalerm. Boonchu and Chalerm
home now? want to go home.
(ใครอยากจะกลับบ้าน (บุญชูและเฉลิม)
ตอนนี้บ้าง)
5. Why อ่านว่าวายแปลว่าทาไมใช้ถามเมื่อต้องการถามถึงเหตุผลเช่น
ประโยคตอบแบบสั้นตอบแบบยาว
(Short form) (Long form)
Why do you go to To buy a book. I go to the book
the book store? store to buy a book.
(คุณไปร้านขาย (ซื้อหนังสือ)
หนังสือทาไม)
Why are you late? Because the traffic I am late
is heavy. Because the traffic
is heavy.
(ทาไมคุณมาสาย) (เพราะรถติด)
6. Which อ่านว่าวิซแปลว่าตัวไหนอันไหนหรือเป็นการไถ่ถามให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเช่น
ประโยคตอบแบบสั้นตอบแบบยาว
(Short form) (Long form)
Which work do you A teacher. I prefer a teacher.
prefer a teacher or a soldier?
(คุณชอบทางานอะไร (ครู)
ครูหรือทหาร)
Which school do you go?Satri Phuket School. I go to Satri Phuket
School.
(คุณจะไปโรงเรียนไหน) (โรงเรียนสตรีภูเก็ต)
7. How อ่านว่าฮาวแปลว่าอย่างไรใช้ในความหมายที่ต่างกันดังนี้
How ใช้ถามลักษณะอาการวิธีการคมนาคมการใช้เครื่องมือต่างๆเช่น
ประโยคตอบแบบสั้นตอบแบบยาว
(Short form) (Long form)
How do you go to By bus. I go to Suan by bus.
SuanChatuchak?
(คุณจะไปสวนจตุจักร (นั่งรถโดยสารประจาทางไป)
อย่างไร)
How is Wasana? Very nice. She is very nice.
(วาสนาเป็นอย่างไรบ้าง) (ดีมาก)
How are you? Fine, thank you. And you? I am fine, thank you.
(คุณเป็นอย่างไรบ้าง) (สบายดีขอบคุณแล้วคุณหละ)
How long ใช้ถามเกี่ยวกับระยะเวลาว่านานเท่าใดเช่น
ประโยคตอบแบบสั้นตอบแบบยาว
(Short form) (Long form)
How long does it take About half an hour by taxi. It’s half an hour by taxi.
fromSanamloang
to Victory Monument?
(จากสนามหลวงไป (ประมาณครึ่งชั่วโมง
อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิโดยรถรับจ้าง)
ใช้เวลานานเท่าไร)
How often ใช้ถามเกี่ยวกับความถี่เช่น
ประโยคตอบแบบสั้นตอบแบบยาว
(Short form) (Long form)
How often does Once a week. He sees her once a week.
he see her?
(เขามาหาเธอบ่อยเพียงไร) (สัปดาห์ละครั้ง)
How many ใช้ถามจานวนมากน้อยเท่าใด (คานามนับได้) เช่น
ประโยคตอบแบบสั้นตอบแบบยาว
(Short form) (Long form)
How many books Two books. I read two books.
do you read?
(คุณอ่านหนังสือมากเท่าไร (สองเล่ม)
How far ใช้ถามระยะทางว่าไกลเท่าไรเช่น
ประโยคตอบแบบสั้นตอบแบบยาว
(Short form) (Long form)
How far is it from About 850 Kilometers. It is about 850 Kilometers.
here to Bangkok?
(จากที่นี่ไปกรุงเทพฯ (ประมาณ 850 กิโลเมตร)
ไกลแค่ไหน)
How old ใช้ถามอายุเช่น
ประโยคตอบแบบสั้นตอบแบบยาว
(Short form) (Long form)
How old are you? Twenty years old. I am twenty years old.
(คุณอายุเท่าไหร่อะไร) (ยี่สิบปี)
How about ใช้ถามความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งต่างๆเช่น
ประโยคตอบแบบสั้นตอบแบบยาว
(Short form) (Long form)
How about the cinema? Very good It is very good.
(ภาพยนตร์เป็นอย่างไรบ้าง) (ดีมาก)
How high ใช้ถามความสูงของสิ่งของที่มีความสูงมากๆเช่นอาคารภูเขาเช่น
ประโยคตอบแบบสั้นตอบแบบยาว
(Short form) (Long form)
How high is that building? Fifty feet. It is fifty feet high.
(อาคารหลังนั้นสูงเท่าไร) (สูง 50 ฟุต)
How tall are you? Six feet. I am six feet tall.
(คุณสูงเท่าไร) (สูง 6 ฟุต)
การตั้งคำถาม
ขอให้นักศึกษาสังเกตว่าการใช้ Question words มาตั้งเป็นประโยคคาถามนั้น Question words
จะอยู่ข้างหน้าประโยคตามด้วยกริยาช่วยประธานกริยาแท้กรรมและส่วนขยายตามโครงสร้าง
ประโยคดังนี้
Example (ตัวอย่าง)
How do you go to SuanChatuchak?
Where do you live?
When will you go home?
Who is that man?
What are you reading?
Why do you go to the book store?
Question words บางคาสามารถตามด้วยกริยาแท้ (Verb) ได้เลยหากคาถามนั้นถามถึง
ประธาน (Subject) ของประโยคซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
Example (ตัวอย่าง)
What is - in the case?
Who wants to go home now?
What ในคาถามแรกถามถึงประธานของประโยคซึ่งเป็นสัตว์จึงใช้คาว่าWhatส่วน Who
ใช้ถามสาหรับคนเท่านั้น
สาหรับคาว่า Which เป็นคาถามเกี่ยวกับลักษณะให้เลือกตอบแปลว่าอันไหนตัวไหนจึง
ต้องตามด้วยคานามหรือสรรพนามเสมอแล้วตามด้วยกริยาช่วยประธานกริยาแท้กรรมและส่วนขยาย
มีโครงสร้างดังนี้
Example (ตัวอย่าง)
Which work do you prefer, a teacher or a soldier?
Which school do you go?
Which one do you like?
Which one does he want?
ส่วนคาว่า How สามารถตามตัวด้วยคาคุณศัพท์ (Adjective) เพื่อถามลักษณะต่างๆได้มี
โครงสร้างดังนี้
Example (ตัวอย่าง)
How long does it take from Sanamluang to Victory Monument?
How often does he see her?
How far is it from here to Bangkok?
How old are you?
How high is that building?
ถา้ถามถึงจานวนหรือปริมาณจะใช้ How many สาหรับสิ่งที่นับได้และ How much
สาหรับสิ่งที่นับไม่ได้เช่น
How many boys are there in this village?
(ในหมู่บ้านนี้มีเด็กผู้ชายกี่คน)
How much sugar do you want?
(คุณต้องการน้าตาลเท่าไร)
How much coffee does he drink everyday?
(เขาดื่มกาแฟมากเท่าใดใน 1 วัน)
How many birds are there in that case?
(ในกรงนั้นมีนกกี่ตัว)
สาหรับการถามราคาจะใช้คาถามว่าHow much does it cost? เสมอ
(3) ประโยคคาถามที่ลงท้ายด้วยวลีบอกเล่าหรือปฏิเสธที่เป็นคาถาม (Question Tags)
เป็นประโยคคาถามที่มักจะใช้ในภาษาพูดหรือบทสนทนาซึ่งผู้ถามทราบคาตอบอยู่แล้วแต่ต้องการ
ยืนยันโดยจะพูดเป็นประโยคบอกเล่าก่อนและลงท้ายด้วยกริยาช่วยและประธานถ้าประโยคหน้า
เป็นประโยคบอกเล่าธรรมดาจะลงท้ายด้วยวลีปฏิเสธแต่ถ้าประโยคหน้าเป็นประโยคปฏิเสธจะลงท้าย
ด้วยวลีบอกเล่า
(ตัวอย่าง)
You are interested in English, aren't you?
(คุณสนใจภาษาอังกฤษใช่ไหม)
She doesn't like to walk to school, does she?
(เธอไม่ชอบเดินไปโรงเรียนใช่ไหม)
Sommai and Suchart can't attend the class today, can they?
(สมหมายและสุชาติมาเรียนวันนี้ไม่ได้ใช่ไหม)
You should come and do the examination next week, shouldn't you?
(คุณจะต้องมาและเข้าสอบสัปดาห์หน้าใช่ไหม)
วลีปฏิเสธที่นามาลงท้ายประโยคเพื่อเป็นคาถามจะใช้ในรูปตัวอย่างเช่น
do not you don't you
will not you won't you
shall not we shan't we
am I not aren't I
(4) ประโยคคาถามแบบลดรูป (Reduced question) คือคาวลีหรือประโยคที่ไม่
สมบูรณ์ซึ่งลดรูปมาจากประโยคคาถามที่ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วย (Yes-no question) ส่วนมากจะใช้ใน
การสนทนาของผู้ที่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นพิเศษ
(ตัวอย่าง)
O.K.? Are you O.K.?
เห็นด้วยไหม, สบายดีไหม
Any question? Do you have any question?
อยากถามอะไรหรือเปล่า, สงสัยอะไรหรือเปล่า
Anything else? Do you want anything else?
เอาอะไรอีกไหม
Tea or coffee? Would you like tea or coffee?
จะดื่มชาหรือกาแฟ
3. ประโยคปฏิเสธ (Negative Sentence) คือประโยคบอกเล่าที่มีคาหรือวลีที่มีความหมาย
ในเชิงปฏิเสธอยู่ในประโยคซึ่งจะเป็นคากริยาวิเศษณ์ (Adverb) เช่น not, never, hardly, scarcely,
rarelyเป็นต้นหรือคาสรรพนามแสดงการปฏิเสธเช่น no one, nobody, none, no, nothing เป็นต้น
(ตัวอย่าง)
Nobody told me to go there on Sunday.
(ไม่มีใครบอกให้ฉันไปที่นั่นในวันอาทิตย์)
I don't want to attend the class today.
(ฉันไม่อยากไปเรียนวันนี้เลย)
This subject is not difficult for us.
(วิชานี้ไม่ยากเลย)
Nothing is worrying, you will pass the examination.
(ไม่ต้องห่วงคุณคงจะสอบผ่าน)
วิธีการทาประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคปฏิเสธทาได้ 2 แบบคือ
1. เติมคาว่า not ไปข้างหลังกริยาช่วย (Helping or Auxiliary Verb) ในประโยคบอกเล่า
(Affirmative Sentence)
(ตัวอย่าง)
I will not go to school tomorrow.
(พรุ่งนี้ฉันจะไม่ไปโรงเรียน)
She doesn’t like cats.
(เธอไม่ชอบแมว)
สังเกตวิธีการทาประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคปฏิเสธจะใช้หลักเดียวกันกับวิธีทาประโยค
บอกเล่าให้เป็นประโยคคาถามคือถ้าประโยคใดมีกริยาช่วยอยู่ให้เติมคาว่า “not” (ไม่) เข้าไปหลัง
กริยาช่วยแต่ถ้าประโยคใดไม่มีกริยาช่วยให้เติม “Verb to do” ไปหน้ากริยาแท้หรือกริยาหลักโดย
กระจายให้ถูกบุรุษเพศพจน์และกาล
ประโยคปฏิเสธกริยาช่วยที่แสดงการปฏิเสธสามารถใช้ในรูปย่อได้คือ
do not don't
does not doesn't
have not haven't
has not hasn't
am not 'm not
is not isn't
are not aren't
shall not shan't
will not won't
cannot can't
กริยาช่วย “can”(สามารถ) เมื่อเติมคาว่า "not" เข้าไปจะเขียนติดกันเป็น cannot
คากริยาช่วยตัวใดทาหน้าที่เป็นกริยาแท้เช่น have (กิน,มี) do (ทา ) เวลาทาเป็นประโยค
ปฏิเสธต้องใช้กริยาช่วย Verb to do เช่นเดียวกัน
4. ประโยคคาสั่ง (Imperative or Order sentence) เป็นประโยคที่บอกให้ทาหรือ
ขอร้องให้ทาตามที่ผู้นั้นบอกซึ่งผู้ที่รับคาสั่งคือผู้ที่คนสั่งพูดด้วยซึ่งคนที่จะสั่งจะเป็นบุรุษที่ 1 คือ
ผู้พูด (I หรือ we) ส่วนคนที่ถูกสั่งจะเป็นบุรุษที่ 2 (You) เมื่อเป็นประโยคคาสั่งจะตัดประธาน
(You) ออกประโยคคาสั่งต้องขึ้นต้นด้วยคากริยาช่องที่ 1 เสมอซึ่งอาจจะเป็นรูปบอกเล่าหรือ
ปฏิเสธก็ได้
(ตัวอย่าง)
Don't walk on the loan! ห้ามเดินในสนาม
Enter your personal code.ใส่รหัสส่วนตัวของท่าน
Sit down here! นั่งตรงนี้
Follow me! ตามฉันมา
วิธีการทาประโยคคาสั่ง
Verb + Object + Complement
(กริยา) (กรรม) (ส่วนขยาย)
ประโยคคาสั่งจะเป็นประโยคที่สรรพนามบุรุษที่ 2 (You) เป็นประธานและอยู่ในรูป
ปัจจุบันกาลธรรมดา (Present Simple Tense) เสมอเพราะการที่จะสั่งหรือขอร้องให้ใครทาอะไรจะ
พูดหรือบอกให้ทาหรือไม่ทาในขณะที่พูดนั้น
การทาประโยคคาสั่งจะมาจากประโยคบอกเล่า (Affirmative Sentence) โดยตัดประธานออก
(ตัวอย่าง)
ประโยคบอกเล่าประโยคคาสั่ง
(Affirmative Sentence) (Imperative or Order sentence)
You follow me. Follow me.
(คุณตามฉันมา) (ตามฉันมา)
You sit down here. Sit down here.
(คุณนั่งลงตรงนี้) (นั่งลงตรงนี้)
You don't walk on the lawn. Don't walk on the lawn.
(คุณไม่เดินบนสนามหญ้า) (อย่าเดินบนสนามหญ้า)
You turn a little bit left. Turn a little bit left.
(คุณเขยิบไปทางซ้ายอีกสักนิด) (เขยิบไปทางซ้ายอีกสักนิด)
5. ประโยคอุทาน (Exclamatory sentence) คือประโยคที่ใช้แสดงความรู้สึกและ
อารมณ์เช่นเสียใจดีใจเป็นต้นใช้ได้ทั้งประโยคเต็มรูปและลดรูป
(1) ประโยคอุทานเต็มรูปจะขึ้นต้นด้วยคาที่เป็นคาถาม (Question word) how
(อย่างไร) และ what (อะไร) ถ้าขึ้นต้นด้วย How จะตามด้วยคาคุณศัพท์ (Adjective) หรือคากริยา
วิเศษณ์ (Adverb) แล้วตามด้วยประธาน (Subject) และกริยา (Verb) ซึ่งอาจจะมีส่วนขยาย
(Complement) ด้วยก็ได้ส่วนประโยคที่ขึ้นต้นด้วยWhatจะตามด้วยนามวลี (Noun phrase) แล้ว
ตามด้วยประธาน (Subject) และกริยา (Verb)
How + Adjective + Subject + Verb + Complement
(คาคุณศัพท์) (ประธาน) (กริยา) (ส่วนขยาย)
Adverb
(คากริยาวิเศษณ์)
What + Noun phrase + Subject + Verb
(นามวลี) (ประธาน) (กริยา)
เช่น
How beautiful she is! เธอช่างสวยอะไรเช่นนี้
How fluently he can speak English! เขาช่างพูดภาษาอังกฤษคล่องอะไรเช่นนี้
What a healthy man he is! เขาช่างเป็นคนแข็งแรงอะไรเช่นนี้
What a wonderful girl she is! เธอช่างเป็นเด็กมหัศจรรย์อะไรอย่างนี้
(2) ประโยคอุทานลดรูปเป็นประโยคที่ตัดประธาน (Subject) และกริยา (Verb)
รวมทั้งส่วนขยาย (Complement) ออก
เช่น
How beautiful! สวยจริงๆ
How fluently! พูดคล่องจริงๆ
What a healthy man! ช่างเป็นคนที่แข็งแรงจริงๆ
What a wonderful girl! ช่างเป็นเด็กมหัศจรรย์อะไรเช่นนี้__